ปราสาทเขาพระวิหาร
เขาพระวิหาร หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนาม
"ปราสาทเขาพระวิหาร" (Prasat Preah Vihear) และที่ประเทศกัมพูชาเรียกขานว่า
"เปรี๊ยะวิเฮียร์"
เป็นปราสาทหินตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก
ในพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างบ้านสรายจร็อม อำเภอจอมกระสานต์
จังหวัดพระวิหาร ของประเทศกัมพูชา และบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย
อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้ๆ กับอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
เขาพระวิหาร
เป็นบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นเมืองสมัยก่อน
ในกษัตริย์ชัยวรมันที่ 2 ได้กำหนดเขตบริเวณนี้และเรียกชื่อว่า
"ภวาลัย" ภายหลังปรากฏชื่อในจารึกภาษาสันสกฤตว่า
"ศรีศิขรีศวร" หมายความว่า
"ผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาอันประเสริฐ"
ตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาพนมดงรัก
ตามแนวเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากหลักฐานต่างๆ
คาดว่าสร้างในปี พ.ศ.1432-1443 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1
เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์
โดยสมมติให้เปรียบเสมือน "เขาพระสุเมรุ" (ศูนย์กลางของจักรวาล)
โดยการสร้างนั้นก็มีเหตุผลในการรวบรวมอำนาจและความเชื่อของคนในละแวกนั้น
เข้าด้วยกัน เพราะในอดีตแถบนั้นมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 จึงโปรดให้สร้างเขาพระวิหารขึ้น
เพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยวและศูนย์รวมจิตใจของ
ชาวบ้านซึ่งจะทำให้การปกครองง่ายขึ้นด้วย
ปราสาทเขาพระวิหาร
"ปราสาทเขาพระวิหาร" หรือ
"ปราสาทพระวิหาร" เป็นโบราณสถานที่มีความงดงาม
โดดเด่นอยู่เหนือเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นพรมแดน
ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 657 เมตร
ปราสาทเขาพระวิหารเป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขาหรือ "ศรีศิขเรศร" เป็น "เพชรยอดมงกุฎ" ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร)
ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก มีความยาว 800 เมตร ตามแนวเหนือใต้
ส่วนใหญ่เป็นทางเข้ายาวและบันไดสูงถึงยอดเขา จนถึงส่วนปราสาทประธาน
ซึ่งอยู่ที่ยอดเขาทางใต้สุดของปราสาท (สูง 120
เมตรจากปลายตอนเหนือสุดของปราสาท, 525 เมตรจากพื้นราบของกัมพูชา และ 657
เมตรจากระดับ)
ปราสาทเขาพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก
ทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ
ซึ่งเทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้น เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9
ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้น
และปราสาทเขาพระวิหารเป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนของ
"ขะแมร์กัมพูชา" (ขอม)
แต่โบราณ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา
ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง "ปราสาท"
ด้วยหินทรายและศิลาแลง
ซึ่งขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย
กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่ 1" ถึง "สุริยวรมันที่ 1"
เรื่อยมาจน "ชัยวรมันที่ 5-6" จนกระทั่งท้ายสุด "สุริยวรมันที่ 2" และ
"ชัยวรมันที่ 7" จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12
(หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง)
คดีปราสาทพระวิหารในพ.ศ.2505
เป็นความขัดแย้งระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทยซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2501 จากปัญหาการอ้างสิทธิเหนือบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหารเกิดจากการที่ทั้งไทยและกัมพูชา ถือแผนที่ปักปันเขตแดนตามแนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักคนละฉบับ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนของทั้งสองฝ่ายในบริเวณที่เป็นที่ตั้งของตัวปราสาท โดยทั้งฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทยได้ยินยอมให้มีการพิจารณาปัญหาดังกล่าวขึ้นที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2502
คดีนี้ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อวันที่
15 มิถุนายนพ.ศ. 2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ท่ามกลางความไม่พอใจของฝ่ายไทย ซึ่งเห็นว่าศาลโลกตัดสินคดีนี้อย่างไม่ยุติธรรม อย่างไรก็ตาม การตัดสินคดีครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องอาณาเขตทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาในบริเวณดังกล่าวให้หมดไป และยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังต่อมาจนถึงปัจจุบัน
"คำตัดสินศาลโลกคดีปราสาทเขาพระวิหาร"
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “คำตัดสินศาลโลก คดีปราสาทเขาพระวิหาร” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม และ 1 พฤศจิกายน 2556 จากประชาชนทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,253 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกระดับการศึกษาและอาชีพเกี่ยวกับการตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งจะมีการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 11 พฤศจิกายน นี้ และความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของรัฐบาลทั้งสองประเทศหากมีการตัดสินคดีออกมา รวมไปถึงประเด็นที่ส่งผลต่อความเสถียรภาพของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักาณ์ ชินวัตร โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน (Standard Error: S.E.) ไม่เกิน 1.4
จากผลการสำรวจ เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มหรือทิศทางการตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหารของศาลโลกพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 19.87ระบุว่า ศาลโลกบอกไม่มีอำนาจที่จะตัดสิน และให้ไทยกับกัมพูชาแก้ไขปัญหากันเอง รองลงมา ร้อยละ 19.79ระบุว่า ศาลโลกตัดสินตามกัมพูชาฟ้องร้อง และทำให้ไทยต้องเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ร้อยละ 18.52ระบุว่า ศาลโลกตัดสินตามคำร้องของฝ่ายไทย ให้บริเวณโดยรอบปราสาทเขาพระวิหารเป็นของไทย ร้อยละ 17.80ระบุว่า ศาลโลกไม่ตัดสินตามคำร้องของฝ่ายไทยและกัมพูชา ร้อยละ 3.19ระบุว่า ตัดสินออกมาในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันดูแลพื้นที่ทับซ้อนกันและร้อยละ 20.83ระบุว่าไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา หากศาลโลกตัดสินเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทย พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 60.02ระบุว่าฝ่ายกัมพูชา อาจจะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก และหายุทธวิธีอื่นในการกดดันไทยต่อไปขณะที่ ร้อยละ 34.64ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาน่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกทุกประการ และร้อยละ 5.35ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
เมื่อถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของฝ่ายไทย หากศาลโลกตัดสินเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชา พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ 54.91ระบุว่าไม่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก และหายุทธวิธีอื่นในการป้องกันการเสียดินแดน รองลงมา ร้อยละ37.75ระบุว่าควรปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกทุกประการ ร้อยละ 0.56 ระบุว่า ต้องอาศัยความประนีประนอมการเจรจา ทางการฑูต เพื่อรักษาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับกัมพูชา และร้อยละ 6.78 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับจุดยืนของประชาชน กรณีปราสาทเขาพระวิหาร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 52.35ระบุว่า ไม่ยอมเสียดินแดนแม้ว่าจะทำให้ไทยกับกัมพูชามีปัญหาขัดแย้งกันต่อไปในอนาคต ร้อยละ 25.14ระบุว่า ยอมรับการตัดสินของศาลโลกหากต้องเสียดินแดนเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างไทยกับกัมพูชา ร้อยละ 3.03ระบุว่า ควรร่วมมือกันบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนโดยให้ยึดผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศเป็นหลัก เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้ง ขณะที่ ร้อยละ 19.47ไม่มีจุดยืน/ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ
ท้ายสุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่จะทำให้ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่นคลอนมากที่สุดในขณะนี้พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.01ระบุว่าเป็นประเด็นการออกกฎหมาย นิรโทษกรรมแบบสุดซอย รองลงมา ร้อยละ 9.42ระบุว่าเป็นประเด็นการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขขาดทุน โครงการจำนำข้าว 4 แสนล้านบาท ร้อยละ 6.70ระบุว่า ไม่มีประเด็นใดเลยที่จะทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่นคลอนลงได้ ร้อยละ 5.83ระบุว่า เป็นประเด็นคำพิพากษาของศาลโลก กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ร้อยละ 3.43ระบุว่า เป็นประเด็น อื่น ๆ เช่นการกู้เงินเพื่อทำโครงการขนาดใหญ่ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ข้าวของแพง ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และร้อยละ 10.61 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ